ยุคที่ตลาดและกำลังซื้อมีแนวโน้มหดตัว, สมรภูมิการแข่งขันในตลาดเบียร์ไทย ซึ่งมีมูลค่ากว่า 260,000 ล้านบาท, กลายเป็นการต่อสู้ที่ร้อนแรงยิ่งขึ้น. หลายทศวรรษที่ผ่านมา, ฉากการแข่งขันในตลาดเบียร์เป็นเหมือนการประชันกันระหว่าง “สิงห์” และ “ช้าง”, แต่ปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากหลังจากที่ “คาราบาว” และ “ตะวันแดง” เข้ามาเป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้.

ตั้งแต่ปลายปี 2566, “คาราบาวกรุ๊ป” ได้เปิดตัวเบียร์ใหม่, สร้างการต่อสู้ที่เรียกได้ว่าเป็น “สงครามฟองเบียร์” ที่เต็มไปด้วยความดุเดือด. การแข่งขันไม่เพียงแค่อยู่ที่ผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงช่องทางการขาย โดยมีการรายงานว่าทั้งสิงห์และช้างพยายามกีดกันไม่ให้ร้านค้าต้อนรับเบียร์ใหม่เหล่านี้ด้วยการเสนอสิทธิพิเศษและตัวเลือกด้านราคาที่ดีกว่า.

บางร้านค้าปลีกค้าส่งก็ได้หยุดขายเบียร์จากคาราบาวและตะวันแดง, บ่งบอกถึงผลลัพธ์ที่ได้จากกลยุทธ์การตลาดของสิงห์และช้าง. แต่ทางคาราบาวไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขายังคงหาช่องทางการขายใหม่ๆ ผ่านร้านค้าที่มีมาตรฐานและเน้นราคาถูกเพื่อเจาะตลาด.

การลดราคาเบียร์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน 2567 ก็ทำให้ตลาดเบียร์มีการเปลี่ยนแปลง และมีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีการแข่งขันด้านราคามากขึ้น. การแข่งขันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นการแย่งชิงลูกค้าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย, ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายเบียร์มักจะเพิ่มขึ้น.

ตามที่นายสมชาย พรรัตนเจริญ, ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย กล่าวว่า ตลาดเบียร์ไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่สูง, โดยเฉพาะเมื่อมีการลดราคาที่ทำให้ได้ยอดขายและลูกค้าเพิ่มขึ้น. สิ่งนี้บ่งบอกว่าการเปลี่ยนแปลงในราคาและการตลาดสามารถส่งผลต่อตลาดได้มาก, และการติดตามต่อไปว่าจะมีการตอบสนองจากผู้เล่นรายอื่นอย่างไรนับเป็นสิ่งที่น่าสนใจ.

#ธุรกิจ