ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566, ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลพบว่าการเพิ่มขึ้นของอุปทานไม่สอดคล้องกับอุปสงค์, ทำให้มีอาคารชุดและบ้านจัดสรรเพิ่มเข้ามาในตลาดอย่างมาก, ส่งผลให้มูลค่าที่อยู่อาศัยเหลือขายพุ่งสูงถึงกว่า 1.16 ล้านล้านบาท. นี่คือการเพิ่มขึ้นที่มากที่สุดในรอบ 4 ไตรมาส, โดยเฉพาะอาคารชุดที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งในจำนวนหน่วยและมูลค่า. นอกจากนี้, การขายใหม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ, และอัตราดูดซับเฉลี่ยลดลงด้วย.
นายวิชัย วิรัตกพันธ์, รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC), เน้นย้ำถึงสถานการณ์นี้ด้วยการเปิดเผยว่ามี 5 ทำเลที่เปิดตัวใหม่และมียอดขายไม่ออกสูงสุด, ซึ่งได้แก่ ธนบุรี-คลองสาน และบางพลี-บางบ่อ เป็นต้น. ทำเลเหล่านี้มีหน่วยเหลือขายมูลค่าสูง, โดยเฉพาะในระดับราคา 2-3 ล้านบาท และ 3-5 ล้านบาท.
การเพิ่มขึ้นของที่อยู่อาศัยเหลือขายไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับผู้พัฒนาโครงการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ซื้อบ้านที่อาจพบกับความไม่แน่นอนในตลาด. นายวิชัยได้ยกตัวอย่าง 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด เพื่อเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้.
สถานการณ์ในตลาดที่อยู่อาศัยประจำปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน, ทำให้มีที่อยู่อาศัยเหลือขายในปริมาณมหาศาล และอัตราดูดซับลดลง. ผู้พัฒนาและผู้ซื้อจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับตัวและรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.
#ข่าวธุรกิจ